Digital Marketing Funnel คือ

Marketing Funnel คืออะไร? กลยุทธ์พื้นฐาน หลักคิดที่ต้องรู้เพื่อการตลาดครบวงจร

หลายๆคนที่สนใจการตลาดออนไลน์ สิ่งที่ผมอยากจะเน้นย้ำให้ทุกคนโฟกัสก่อนทำโฆษณา ก็คือการเริ่มวางแผนการตลาดก็คือ Marketing Funnel

Marketing Funnel คืออะไร?

Marketing คือการตลาด | Funnel คือ ปล่องหรือกรวย

Marketing Funnel คือ กรวยทางการตลาดที่เราใช้ศึกษาเปรียบเทียบพฤติกรรมของ User(ผู้ใช้ก่อนจะเป็นลูกค้า) ว่าพฤติกรรมลูกค้าแต่ละแบบนั้น จัดอยู่ใน Marketing Funnel ระดับไหนกันบ้าง

เพื่อที่เราจะได้นำ Marketing Funnel มาใช้ในการสร้างเครื่องมือทางการตลาดว่ามันเหมาะสมกับแต่ละขั้น Funnel

ตัวอย่าง Marketing Funnel

Marketing Funnel มีหลายระดับ บางตำราก็แบ่งแยกย่อยพฤติกรรมลูกค้าไปเยอะแยะมากมาย

แต่ผมอยากให้ทุกคนโฟกัสแค่ระดับพื้นฐานก่อน เพื่อความเข้าใจที่ง่ายขึ้น ไม่ปวดสมอง ประยุกต์ใช้กับแคมเปญโฆษณาได้ทันที

  1. Tofu(Top of funnel) หรือ Awareness stage คือ ขั้นตอนการรับรู้แบรนด์ ทำให้ลูกค้ารู้จักเรามากขึ้น
  2. Mofu(Middle of funnel) | Interest stage คือ ขั้นที่ลูกค้าเริ่มสนใจ เริ่มเสาะหาข้อมูลเพิ่มเติม
  3. Mofu(Middle of funnel) | Consideration stage คือ ขั้นที่เริ่มคิดถึงแบรนด์ เริ่มทำการเปรียบเทียบ
  4. Bofu(Bottom of funnel) | Purchase, Decision คือ ขั้นที่ลูกค้าทำการตัดสินใจสั่งซื้อสินค้า
  5. Bofu(Bottom of funnel) | Retention คือ ขั้นที่เราจะสื่อสารกับลูกค้าเก่าต่างๆเพื่อสร้างยอดขายเพิ่ม

Marketing Funnel แต่ละระดับ

  1. Tofu(Top of funnel) หรือ Awareness stage

ขั้นตอนการรับรู้แบรนด์ ทำให้ลูกค้ารู้จักเรามากขึ้น

เช่น

อ่าน Blog/Article ต่างๆ

ฟัง Podcast ให้ความรู้เกี่ยวกับเรื่องที่สนใจ

ดูวิดีโอเกี่ยวกับแบรนด์ หรือวิดีโอให้ความรู้ต่างๆ

ตามข่าวสารอัพเดทของแบรนด์ทาง Social Media

ถ้าทำโฆษณาใน stage นี้ก็ต้องทำให้ user รับรู้ให้ได้ว่าเราช่วยแก้ปัญหาอะไรให้เค้าได้บ้าง จี้ที่ Painpoint หนักๆ หาคนเข้ามาในกรวยให้ได้มากที่สุด(ส่วนใหญ่ FB ผมจะใช้เป็นวิดีโอ ดักคนได้เยอะ)

การใช้ Influencer

  1. Mofu(Middle of funnel) | Interest stage 

ขั้นตอนที่ user เริ่มรู้จักตัวแบรนด์คุณแล้ว เค้าจึงเริ่มค้นหารายละเอียดยิบย่อยเกี่ยวกับเรื่องที่เค้าสนใจ ความสงสัย ลึกลงไปอีก ซึ่งการค้นหานี้ก็มักจะเกี่ยวโยงกับแบรนด์ของคุณด้วย

จุดนี้เราก็ต้องทำให้ธุรกิจเรา ค้นหาเจอได้ง่าย มีข้อมูลสินค้าครบครัน พร้อมใช้โน้มน้าวลูกค้าในอนาคตให้ไป Funnel ขั้นถัดไปได้

  1. Mofu(Middle of funnel) | Consideration stage

ขั้นตอนที่ user เริ่มสนใจแบรนด์มากๆ เริ่มพิจารณาแบรนด์ คิดถึงแบรนด์ รวมถึงเริ่มนำตัวแบรนด์มาเปรียบเทียบกับคู่แข่งเจ้าอื่นๆ อย่าลืมว่าในตลาดก็มีคู่แข่งอีกมากมาย ไม่ว่าจะแข่งด้วยเรื่อง คุณภาพ, ภาพลักษณ์ หรือ ราคา ฯลฯ

ดังนั้นเราจึงต้องคิดกลยุทธ์การตลาดมาตอบสนองคนกลุ่มนี้ให้ลงมาในขั้นตอนถัดไปให้ได้

เช่นทำ Checklist มาเปรียบเทียบคุณภาพ ความคุ้มค่า

หรือ ปล่อยโฆษณารีวิวจากลูกค้า, คำอธิบายจากผู้เชี่ยวชาญ อะไรแบบนี้ก็ช่วยให้ปิดการขายได้ง่ายขึ้นใน Funnel ขั้นถัดไป

  1. Bofu(Bottom of funnel) | Purchase

ขั้นตอนนี้คือ ขั้นตอนการปิดการขาย โดยขั้นตอนนี้เราต้องทำให้ลูกค้าตัดสินใจให้ได้ อาจกระตุ้นลูกค้าด้วยโปรโมชั่น หรือ ประโยคที่ทำให้ลูกค้าเข้าใจว่าถ้าไม่ตัดสินใจตอนนี้จะพลาดอะไรไป

สิ่งที่สำคัญเลยในการทำ Marketing Funnel คือ

  1. การตาม Retargeting/Remarketing ในลูกค้าแต่ละช่วง เพื่อดึงให้ลูกค้าที่ยังไม่ตัดสินใจ ทำการตัดสินใจได้ง่ายขึ้น 
  2. การเลือกเครื่องมือให้เหมาะกับแต่ละ stage

เช่นการรันโฆษณา Facebook Ads ถ้าผมต้องการปิดยอดขายใน stage consideration/purchase แต่ผมดันไปใช้ Objective VDO Views อย่างเดียว แบบนี้ก็จะปิดได้ยาก เพราะมันหาคนมาดูวิดีโอ
ดังนั้น ถ้างบน้อย ก็ต้องเลือก Message/Conversion หรือถ้า Retargeting ก็เป็น Reach เป็นต้น
หรือถ้าผมเน้นยอดขาย แต่ผมไปรันโฆษณา Youtube Ads อย่างเดียวอะไรแบบนี้มันก็จะได้ยอดขายยากหน่อย
ไม่มีตัวช่วยปิดการขาย แต่ถ้าเน้นการรับรู้ ให้คนดูรับรู้แบรนด์ผ่านการดู VDO ก่อน แล้วค่อยมาทำการตลาดต่อผ่านแคมเปญรูปแบบต่างๆไม่ว่าจะ FB Message/Conversion/Reach
หรือ Google Search Ads/GDN/Youtubeโฆษณาตัวถัดไป แบบนี้ Youtube Ads อาจจะคุ้มเพราะสร้างการรับรู้ ให้แคมเปญรูปแบบอื่นไปสร้างยอดขายต่อ

ไม่ใช่ว่า Youtube Ads หรือ VDO Views มันรันขายไม่ได้นะ แต่มันต้องใช้ประกอบกับหลายๆรูปแบบแคมเปญ การเลือกเครื่องมือมาใช้ในแต่ละ Funnel จึงสำคัญมาก

 

สรุปความสำคัญ Marketing Funnel

  1. ช่วยให้เข้าใจพฤติกรรมลูกค้ามากขึ้น และรู้ว่าเรามีกลุ่มหรือฐานลูกค้าอยู่ใน Stage ไหนบ้าง
    เพิ่มโอกาสให้เราสามารถทำโฆษณา ใช้ Media หรือทำ Content ต่างๆ ได้ตอบโจทย์กับกลุ่มเป้าหมาย Stage ที่ลูกค้าอยู่ และใช้งบประมาณได้เหมาะสมกับจำนวนของกลุ่มเป้าหมาย
  2. ช่วยให้เราสามารถวางแผน จัดการ เลือก Platform, Media และช่องทางในการโฆษณา รวมถึงบริหารงบประมาณได้เหมาะสมมากขึ้น
  3. เมื่อวางแผนได้ดีขึ้น เราจะสามารถใช้ช่องทางในการทำ Digital Marketing ต่างๆ ได้ถูกต้อง มีประสิทธิภาพ วัดผล ปรับปรุง และเห็นแนวทางในการพัฒนาได้มากขึ้น
  4. เมื่อเห็นช่องทางในการพัฒนา เราจะสามารถสเกลธุรกิจของเราได้ ไม่ตัน เพราะรู้จุดแข็ง จุดด้อย จุดที่ต้องเพิ่ม/ลดการบริหาร รู้วิธีการดึงลูกค้า และปิดการขายได้อย่างเหมาะสม
  5. ยอดขายและ ROI เมื่อสามารถวางแผน บริหารจัดการ และดำเนินการโฆษณาได้มีประสิทธิภาพ เราก็จะได้ยอดขาย และ ROI มากขึ้น และปรับให้เหมาะสมได้ตามความต้องการของเรา

สำหรับคนที่อยากรับข่าวสารอัพเดท รวมถึงพูดคุยสอบถามเรื่อง Digital Marketing ร่วมเป็นครอบครัวเดียวกัน พูดคุยข่าวสารอย่างไม่รู้จบ!

Digital Marketing Thailand Hub – ศูนย์รวมนักการตลาดออนไลน์แห่งประเทศไทย
Digital Knowledge Thailand (Ads, Marketing, Content, Production & Website)

การตลาดออนไลน์ คืออะไร? ช่องทางการตลาดออนไลน์ 2021

การตลาดออนไลน์คืออะไร? ตัวอย่างช่องทางการตลาดออนไลน์ 2023 มีอะไรบ้าง?

Digital Marketing, Online Marketing หรือการตลาดออนไลน์ คือการตลาดรูปแบบใหม่บนโลกออนไลน์ เป็นการทำการตลาดผ่านเครือข่ายออนไลน์(Social Media, Email, Mobile Application, Web Application, Website, Search engine ฯลฯ)และเครื่องมือเทคโนโลยีต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นการพยายามเข้าถึงลูกค้า หรือการสร้างสินทรัพย์ออนไลน์(Digital Asset) ทั้งในรูปแบบการสื่อสารข้อความแนวคิดจากแบรนด์ต่างๆ หรือโปรโมชั่น เพื่อใช้ในการตอบสนองลูกค้า เพื่อสร้างการรับรู้จนเกิดยอดขายต่อไป

ทำไมการตลาดออนไลน์คือความสำคัญของธุรกิจคุณ
“เพราะมันวัดผลเป็นตัวเลขได้ เช่น มีคนเห็นกี่คน คลิกกี่คน
โทรหาเรากี่คน ซื้อสินค้าเรากี่คน เข้าถึงลูกค้าได้อย่างตรงจุด”

เรามาพูดถึงช่องทางการตลาดต่างๆทั้ง Digital Marketing Channel(ช่องทางการตลาดออนไลน์) และ Digital Asset กัน

ตัวอย่างช่องทางการทำการตลาดออนไลน์ 2021 มีอะไรบ้าง?

Digital Marketing Asset ต่างๆ

ตัวอย่างการสร้าง Digital Marketing Asset

Digital Marketing Asset คือสินทรัพย์บนโลกออนไลน์ของเรา ที่เราใช้เพื่อเข้าถึงลูกค้าเพิ่มเติม ใช้รองรับลูกค้า Digital Marketing Asset ที่จริงยังรวมถึงโลโก้ ภาพของแบรนด์ คำสื่อสารต่างๆ เครื่องมือซอฟท์แวร์ต่างๆ ฯลฯ แต่ผมขอพูดถึงแค่จุดที่สามารถนำลูกค้ามาสู่ธุรกิจได้

ประเภทของ Digital Marketing Asset ที่จำเป็นต่อธุรกิจ
– Website การเขียน Content ปั้นเว็บไซต์ หรือ บทความ(Blog) ให้ติดอันดับ SEO
– Youtube VDO Content และ VDO ใน Platform อื่นๆ
– Google My Business(นำธุรกิจให้แสดงผลบน Google Map)
– Social proof หรือ Reviews เพิ่มความน่าเชื่อถือให้ธุรกิจ โน้มน้าวลูกค้าง่าย
– Social media page(Facebook page, Instagram business profile, Tiktok, Twitter, Linkedin)ไว้สื่อสารกับลูกค้า
– ทำ Facebook group ไว้แชร์คอนเทนต์, แชร์สินค้า และ สร้างฐานแฟน Community เล็กๆของธุรกิจ
– Market Place เช่น Facebook Marketplace, Shopee, Lazada, Alibaba, Amazon หรือ Ebay
– Pantip เราสามารถเข้าไปตอบปัญหา หรือ ข้อสงสัยเกี่ยวกับสินค้า หรือ ทำรีวิว ในเว็บไซต์ Pantip.com ได้ คนที่กำลังตัดสินใจ กำลังพิจารณาแบรนด์ต่างๆมักเข้าไปใน Pantip ดังนั้นหากเราไปแสดงตัวว่ามีตัวตนใน Pantip ก็เป็นอีกจุดนึงที่เราจะสามารถดึงลูกค้ามาเพิ่มเติมได้
– การเก็บ Lead(รายชื่อ เบอร์โทร อีเมล) เพื่อเอาไว้ทำการตลาด เพิ่มยอดขายต่อ ประหยัดค่าโฆษณา
– Line OA สำหรับเก็บฐานลูกค้า CRM Upselling

ช่องทางการตลาดออนไลน์ต่างๆ

ตัวอย่าง Digital Marketing Channel ช่องทางการตลาดออนไลน์ 2021

1. Social Media Marketing คือ การทำการตลาดผ่านแพลตฟอร์ม Social Media ต่างๆ ท้ัง Facebook, Instagram, Youtube, Twitter, Tiktok, Linkedin และ Line ทั้งแบบเสียเงินและไม่เสียเงิน

โดย Social Media ก็ถูกแบ่งออกเป็น 2 แบบให้เข้าใจมากขึ้น

1.1 Paid Social Media Advertising คือการจ่ายเงินเพื่อแสดงผลโฆษณาบนแพลตฟอร์ม Social Media อย่าง Facebook, Instagram, Youtube, Twitter, Tiktok, Linkedin และ Line ถ้าต่างประเทศก็จะมี Pinterest และ Snapchat ซึ่งคนไทยเราไม่ค่อยเล่นกัน

1.2 Organic Social Media Marketing คือการทำการตลาดบนแพลตฟอร์ม Social Media แบบไม่เสียเงิน คล้ายๆกับการทำ SEO เช่นการตั้งชื่อเพจเฟสบุ๊ค(Facebook page), กลุ่มเฟสบุ๊ค(Facebook group) ให้สอดคล้องกับคำค้นหา หรือการทำ Content ทั้งภาพและวิดีโอ ให้เกิดการแพร่กระจายออกไป รวมถึงการแชร์เนื้อหาใส่กลุ่มต่างๆ ตอบปัญหาช่วยเหลือผู้คนในกลุ่มเฟสบุ๊คต่างๆ

2. Search engine marketing คือการทำการตลาดผ่านทาง Search engine อย่าง Google, Bing, Baidu หรือ Yahoo ฯลฯ หลักๆในไทยก็จะใช้ Google.com กัน ทั้งรูปแบบเสียเงินและไม่เสียเงิน แต่คนส่วนใหญ่ชอบพูดติดปากกันว่า SEM คือการโฆษณาแบบเสียเงินเป็นคลิกทางหน้าการค้นหา Google.com(Paid search ads)
ความหมายจริงๆของ SEM ต้องครอบคลุมทั้ง Paid search และ Organic Search(SEO) ด้วย

2.1 Paid Search Advertising คือการจ่ายเงินเพื่อให้โฆษณาแสดงบนเว็บไซต์ Search engine ต่างๆ แสดงผลในหน้าการค้นหา SERPs(Search engine result pages) ตามคีย์เวิร์ดต่างๆที่ผู้ลงโฆษณา(Advertiser)ทำการซื้อดัก คำค้นหา(Search term)ของลูกค้า

Paid Search ของ Google นั้นนอกจากแสดงผลใน Google.com แล้ว ยังสามารถแสดงผลใน Youtube เพราะ Youtube ก็มีระบบการค้นหาเช่นกัน หลายๆคนน่าจะคุ้นๆอยู่ โฆษณาที่มาแสดงผลหลังเราค้นหาอะไรบางอย่างใน Google

รวมถึงแสดงผลในพาร์ทเนอร์ต่างๆที่เข้าร่วมกับ Google อีกด้วย

2.2 Search Engine Optimization (SEO) คือการปรับปรุงคุณภาพเว็บไซต์ให้ติดอันดับบนเครื่องมือ Search engine แบบธรรมชาติ(Organic) ในหน้าแสดงผลลัพธ์การค้นหา SERPs(Search engine result pages) เป็นวิธีที่ไม่เสียเงิน แต่ใช้เวลาค่อนข้างนาน มีต้นทุนด้านเวลา

หลายๆคนที่ไม่อยากเสียเงิน มักจะตัด Paid search ทิ้ง แล้วรอเว็บไซต์ติดอันดับ SEO แต่ผมแนะนำในช่วงแรกให้ทำทั้งสองอันเลย เพราะ SEO กว่าจะติดอันดับใช้เวลาค่อนข้างนาน 3-6 เดือน หรือมากกว่า 1 ปี รวมถึงหาก SEO ติดอันดับแล้ว ในบางคำที่เราไม่สามารถปั้นคีย์เวิร์ดให้ติดอันดับได้ หรือ เราต้องการดักพื้นที่ใน SERPs ให้มากขึ้น เราก็ต้องซื้อโฆษณา Paid search ads ผสมไปด้วย

SEO สามารถปั้นให้ติดอันดับได้ทั้งเว็บไซต์, Google My Business, Google Image, หรือ วิดีโอ Youtube

3. Banner ads หรือ Display ads คือการโฆษณารูปแบบแบนเนอร์บนออนไลน์ แสดงผลทั้งบนเว็บไซต์ Publisher และเว็บไซต์ Youtube เปรียบเหมือนป้ายโฆษณาออนไลน์
มีลักษณะคล้าย Billboard แต่อยู่เป็นโลกออนไลน์

หลักๆที่เราคุ้นตากัน คือ แบนเนอร์ GDN(Google Display Network) โฆษณารูปแบบนึงของ Google รวมถึงการแสดงผลในแอพพลิเคชั่นต่างๆ

นอกจากนี้เราสามารถซื้อ Banner ads ได้จากเว็บไซต์ต่างๆได้โดยตรง เช่น เว็บ Pantip ก็ขาย Banner ads แยกให้ขึ้นบนห้องความสนใจประเภทต่างๆ หรือ ถ้าใครเคยดูไฮไลท์ฟุตบอล, เว็บพระเครื่อง, ดูบอล-ดูหนังเถื่อน(ไม่ได้สนับสนุนนะ) พวกนี้เค้าจะขายแบนเนอร์แยก เราสามารถซื้อได้โดยตรงกับเจ้าของเว็บไซต์เลย

แต่ส่วนมาก โฆษณาประเภทนี้จะเหมาะกับการสร้าง Awareness สร้างการรับรู้ จดจำแบรนด์ ซะมากกว่า
ส่วน GDN ของ Google Ads สามารถสร้างยอดขายได้เช่นกัน แต่ไม่เท่าพวก Paid Search ads

4. Content Marketing คือการตลาดที่มุ่งเน้นไปที่การเผยแพร่เนื้อหาแสดงความรู้ ตอบข้อสงสัยจ่างๆ เพื่อสร้างการรับรู้แบรนด์(Brand Awareness) นำไปสู่การคลิกเข้าเว็บไซต์, กรอกรายชื่อ(Lead) และเพิ่มยอดขาย(Sale)

Content Marketing เป็นคำที่ค่อนข้างกว้าง คลอบคลุมทั้งการทำ Blog post, การทำ Infographics, แจก eBooks, ทำ VDO Content

5. Email Marketing คือการตลาดรูปแบบอีเมล หลังจากเราเก็บ Lead มา ส่วนนึงเราก็จะสามารถเอามาทำ Email Marketing ได้ มักใช้ธุรกิจ B2B และธุรกิจที่สินค้ามีมูลค่าสูง เพื่อฟูกฟัก Lead ให้รู้จักธุรกิจเราหรือเกิดความอยากซื้อสินค้าจากธุรกิจเรามากขึ้น

รวมถึงการส่งโปรโมชั่นของธุรกิจ B2C ให้ลูกค้าเก่าๆก็ทำได้เช่นกัน
แพลตฟอร์มที่ให้เราสามารถเข้าไปบริหารจัดการ Email list พร้อมส่งข้อความอีเมลไปเสิร์ฟและวัดผลได้ นั้นก็คือแพลตฟอร์มอย่าง Mailchimp, Active Campaign หรือ Hubspot ฯลฯ

6. Influencer Marketing คือการตลาดรูปแบบที่ใช้คนดัง คนที่มีผู้ติดตามเยอะๆบน Social Media ต่างๆ ช่วยโปรโมทสินค้า ซึ่งคนกลุ่มนี้ถือว่ามีอิทธิผลต่อตลาด เพราะมีผู้ติดตามเยอะ สามารถถ่ายทอดความคิดอะไรบางอย่างให้คนอีกกลุ่มได้เราเรียกอีกอย่างว่า Key Opinion Leader

7. Affiliate Marketing คือการตลาดรูปแบบตัวแทน ไม่ว่าจะเป็นตัวแทนขายสินค้า บริการทั่วไป หรือตัวแทนขายซอฟท์แวร์ โดยมีลักษณะนำสินค้าจากเว็บหลักไปโปรโมทในช่องทางของตัวเอง เพื่อรับคอมมิชชั่น

วิธีการคือเราจะนำลิ้งค์เว็บไซต์สินค้าที่เราเป็นตัวแทน(มันจะมีพารามิเตอร์ห้อยท้ายลิ้งค์เว็บ เพื่อใช้แบ่งแยกว่ายอดมาจากลิ้งค์ของใคร) มาแปะที่ช่องทางของเรา เมื่อมีคนไปซื้อสินค้าผ่านลิ้งค์ที่เราแปะไว้ เราก็จะได้รับค่าคอมมิชชั่น
โดย Affiliate Marketing ก็มีหลายแพลตฟอร์มที่เปิดให้เราเอาสินค้าของเค้าไปขายได้ หลักๆในไทยก็จะมี Lazada Affiliate Program และ Interspace Thailand ฯลฯ

ซึ่งเราสามารถนำระบบนี้มาประยุกต์ใช้กับสินค้าบริการต่างๆของเราได้ เมื่อต้องการขยายยอดขายเพิ่มเติม โดยไม่ต้องเสียเงินลงโฆษณาเอง ให้ตัวแทนของเราช่วยเรากระจายสินค้า โดยแบ่งค่าคอมมิชชั่นให้ตัวแทน

8. Native advertising คือโฆษณาที่มีลักษณะเป็นคอนเทนต์แก้ปัญหาต่างๆแต่แฝงการขายภายในบทความนั้น แสดงผลคล้ายบทความแนะนำ แสดงผลเป็นแบนเนอร์ มักจะแสดงต่อจากตอนจบบทความต่างๆ โดยแพลตฟอร์มดังๆที่ใช้ลง Native Ads ได้ก็คือ Taboola, TripleLift, Outbrain หรือ MGID ฯลฯ

9. Music Marketing คือการเอาเพลงหรือดนตรี มาใช้ในการทำการตลาดและสร้างการจดจำแบรนด์ เพื่อเชื่อมโยงแบรนด์กับกลุ่มเป้าหมายเข้าด้วยกัน โดยสามารถใช้เพลงสื่อสารได้หลายมิติ จับต้องได้ เข้าถึงง่าย ในสมัยก่อน Music Marketing จะเป็นรูปแบบ Verse เพลงสั้นๆจำได้ง่าย เช่นของ Lactasoy “แลคตาซอยห้าบาท 125 มิลลิลิตร..”
แต่ปัจจุบันจะเป็นแนวที่แบรนด์ไปเข้าร่วมกับศิลปินต่างๆ ทำเพลงขึ้นมาใหม่ เป็นเพลงเต็ม สื่อสารข้อความที่หลากหลายกว่า

10. SMS Marketing คือการตลาดรูปแบบข้อความทางโทรศัพท์ มีลักษณะคล้ายๆ Email Marketing เอา Lead ที่มีโฆษณาไปหาลูกค้าในกล่องข้อความโทรศัพท์ หลักๆแล้วมักจะใช้ SMS เพื่อเสนอโปรโมชั่น, ติดตามลูกค้า ให้มาใช้บริการกับเรา Audience ในโลกออนไลน์นั้นมีหลายกลุ่ม ซึ่งต้องยอมรับว่าคนใช้อีเมลไม่เป็น หรือธุรกิจที่ไม่มีความจำเป็นต้องเปิดกล่องอีเมลบ่อยขนาดนั้น มันก็ยังมีอยู่ในไทยค่อนข้างเยอะ ดังนั้น SMS Marketing จึงมาอุดรอยรั่วตรงนี้ได้ดี

รวมถึงแบรนด์ใหญ่ๆมักใช้ในการเสนอโปรโมชั่น เช่น เราเดินเข้าช้อปทรู ดีแทค เอไอเอส ในห้างฯ ระบบอาจส่งข้อความเสนอโปรฯ iPhone ล่าสุดให้เราทางโทรศัพท์ ซึ่งเป็นวิธีการเล่น SMS กับ Location ของลูกค้าก็สามารถทำได้เช่นกัน

สรุป:
การทำการตลาดออนไลน์นั้น ไม่ใช่แค่ว่าเราจะรันแต่โฆษณา Facebook ads หรือ Google ads แล้วมันจบ มันต้องทำหลายๆอย่างไปพร้อมๆกัน มีทั้งระยะสั้นและระยะยาว เพื่อให้สอดคล้องกับ Customer Journey ของลูกค้า สินค้าหลายๆชนิด ไม่ใช่ว่าเจอโฆษณาตัวสองตัว แล้วทำการซื้อปิดยอดเลย เค้าไปศึกษาข้อมูลช่องทางนั้นนี้ต่อ ถ้าเราไม่เตรียมธุรกิจเราให้พร้อมในทุกช่องทาง เราก็จะเสียลูกค้าให้คนอื่นไปดื้อๆเลย

สำหรับคนที่อยากรับข่าวสารอัพเดท รวมถึงพูดคุยสอบถามเรื่อง Digital Marketing ร่วมเป็นครอบครัวเดียวกัน พูดคุยข่าวสารอย่างไม่รู้จบ!

Digital Marketing Thailand Hub – ศูนย์รวมนักการตลาดออนไลน์แห่งประเทศไทย
Digital Knowledge Thailand (Ads, Marketing, Content, Production & Website)

อ้างอิง:
https://www.disruptiveadvertising.com/marketing/digital-marketing/
https://mailchimp.com/marketing-glossary/digital-marketing/

ขอบคุณภาพจาก:
https://www.pexels.com/
http://freepik.com/

คำศัพท์การตลาดออนไลน์

คำศัพท์ Digital Marketing ที่ทุกคนต้องรู้!

คำศัพท์การตลาดออนไลน์

ศัพท์ Digital Marketing หรือศัพท์ของการตลาดออนไลน์นั้น ก็เป็นสิ่งสำคัญสำหรับนักการตลาดเช่นกัน เพราะว่าเวลาเราอ่านบทความต่างๆ หรือพูดคุยกับคนในวงการ เราก็จะได้เข้าใจสิ่งที่เค้าทำการสื่อสารกัน

ศัพท์ Digital Marketing มีอะไรกันบ้าง?

Facebook Page คือหน้าที่เราเอาไว้นำเสนอธุรกิจของเรา ใช้เพื่อติดต่อสื่อสาร สร้าง Engage กับผู้ใช้ ใช้งานร่วมกับ Ad Account

Ad Account คือบัญชีโฆษณาของเฟสบุ๊ค ซึ่งถ้าเราจะรันโฆษณา เราต้องมารันผ่าน Ad Account

Ads Manager คือเครื่องมือไว้ใช้รันโฆษณาของ Google โดย Ads Manager จะอยู่ภายใต้บัญชีโฆษณาซึ่งเรียกว่า Ad Account

Business Manager คือบัญชีจัดการธุรกิจของ Facebook สำหรับใครที่มีหลายๆ Facebook page หรือมีหลายๆ Ad account ก็ต้องมาสร้าง Business Manager

Impressions คือจำนวนครั้งการแสดงผลของโฆษณา

Clicks คือจำนวนคลิกที่เกิดขึ้นกับโฆษณา

CTR(click-through-rate) คืออัตราการคลิก [Clicks / Impression * 100 = CTR]

Conversion คือหน่วยวัดผลรูปแบบนึง ซึ่งเป็นการกระทำที่มีค่าต่อธุรกิจ ไม่ว่าจะเป็นการสั่งซื้อ หรือการกรอกฟอร์ม

ชื่อแคมเปญประเภทนึงของ Facebook ก็มีชื่อว่า Conversion เช่นกัน

Conversion rate คืออัตราการเกิด Conversion [Conversions / Clicks * 100 = Conversion rate]

Lead generation คือการตลาดรูปแบบนึงที่เน้นการเก็บฟอร์มรายชื่อข้อมูลส่วนตัวลูกค้า เพื่อสร้างโอกาสขายในโอกาสถัดๆไป แต่ก็เป็นชื่อแคมเปญประเภทนึงของ Facebook ads เช่นกัน

Search ads คือโฆษณารูปแบบการค้นหาผ่านเว็บไซต์ Search Engine อย่างเช่น Google, Bing หรือ Yahoo แต่ที่ดังในไทยจะเป็น Google.com

Banner Ads คือโฆษณารูปแบบแบนเนอร์อาจมีหลายๆเจ้าที่ให้บริการแบนเนอร์เช่นพวก Native Ads, Taboola, GDN หรือการซื้อแบนเนอร์ผ่านเว็บไซต์ต่างๆโดยตรง

GDN คือโฆษณารูปแบบแบนเนอร์ ชื่อเต็มคือ Google Display Network รวมถึงเป็นชื่อเครือข่ายเน็ตเวิร์กของ Google ที่ไว้แสดงโฆษณาแบนเนอร์

Shopping Ads คือโฆษณารูปแบบช้อปปิ้ง เป็นรายการสินค้า ส่วนใหญ่ที่เราเห็นแสดงผลใน Google.com ซึ่งมีการแสดงผลในเว็บไซต์ Youtube และ Gmail อีกด้วย

A/B Testing คือการทดสอบบางสิ่งบางอย่างเพื่อหาผลลัพธ์ โดยทำการเปรียบเทียบกัน เช่น การแบ่งกลุ่มเป้าหมายเป็น 2 กลุ่ม, หรือการแบ่งโฆษณาเป็น 2 ชิ้นเพื่อทำการเปรียบเทียบกัน

Outbound Marketing คือการตลาดแบบผลักออก ที่ไปคั่นลูกค้าขณะเสพสื่อต่างๆเช่น Facebook ads ไปคั่นลูกค้าขณะลูกค้าดู Facebook News Feed, Banner GDN ที่ขึ้นในเว็บไซต์ข่าว

Inbound Marketing คือการตลาดแบบดึงดูดเข้ามา เช่นการทำ Blog ทำ SEO ทำ content ให้คนติดตาม แล้วค่อยๆสร้างให้กลายเป็นลูกค้าต่อไปด้วยวิธีต่างๆ จะเป็นลักษณะที่ลูกค้าเข้ามาหาเราเอง

Content คือสื่อออนไลน์ทุกรูปแบบไม่ว่าจะ ภาพ,เนื้อหา หรือวิดีโอ ที่จริงคำว่า Content มักใช้พูดถึงกลุ่มงานเขียนคอนเทนต์ แต่ว่าที่จริงใช้รวมได้ทั้งหมด

E-Commerce คือเว็บไซต์ขนาดใหญ่ที่มีสินค้าเยอะๆ สามารถปิดการขายผ่านเว็บไซต์ได้

Email Marketing คือการทำการตลาดผ่านรูปแบบอีเมล

Own media คือสื่อที่อยู่ในมือเราเองไม่ว่าจะเป็นเว็บไซต์, Blog, Facebook page, Youtube Channel

Earn media คือสื่อที่เราได้รับมาโดยเราไม่ได้เสียเงินเช่น มีคนรีวิวถึงเรา, มีคนพูดถึงเราในโลกออนไลน์ เป็นต้น

Paid media คือการจ่ายเงินเพื่อซื้อสื่อ เช่น Facebook ads, Google ads, Tiktok ads หรือ Taboola เป็นต้น

Keyword คือคำที่เราจะใช้เป็นคำหลักของ Content ใน blog เพื่อให้รองรับกับการทำ SEO หรือการซื้อ Keyword เพื่อให้โฆษณาแสดงผลใน Google Ads

SEM(Seach engine marketing) คือการทำการตลาดบนเครื่องมือการค้นหา Search engine เช่น Google.com, Bing.com หรือ Yahoo.com เป็นต้น ในความหมายที่แท้จริงหมายถึง SEO และ PPC ทั้งคู่ด้วยกัน แต่คนชอบเรียก SEM ว่าคือ PPC

Pay-per-click(PPC) แปลว่าการจ่ายเป็นคลิก ใช้เรียกโฆษณาของ Google Ads ที่จ่ายเป็นคลิก ส่วนใหญ่จะใช้เรียก Search ads แต่ความหมายจริงๆก็หมายถึง Gdn ด้วยเช่นกัน

Paid Search คือการทำโฆษณาผ่าน Search engine ด้วยการเสียเงินเพื่อแสดงโฆษณา

Organic Search คือการที่เว็บไซต์ติดอันดับหน้า Search engine แบบไม่เสียเงิน

SEO(Search engine optimization) คือวิธีการปรับปรุงเว็บไซต์ให้ติดอันดับหน้า Search engine แบบไม่เสียเงิน

Traffic คือจำนวนคนเข้าเว็บไซต์

Organic Traffic คือจำนวนทราฟฟิคที่เข้าเว็บไซต์จากตำแหน่ง Organic(ตำแหน่งที่ติดแบบธรรมชาติ ไม่เสียเงิน)

Paid Traffic คือจำนวนทราฟฟิคที่เข้าเว็บไซต์จากโฆษณาแบบเสียเงิน

Google Analytics(GA) คือเครื่องมือที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูลบนเว็บไซต์

Google Tag Manager(GTM) คือเครื่องมือที่ใช้ในการแทรกโค้ดในเว็บไซต์โดยไม่ต้องผ่านโปรแกรมเมอร์ รวมถึงการวัดผลเหตุการณ์ต่างๆในเว็บไซต์ ก็สามารถทำได้ผ่าน Tag Manager

Google Adwords หรือ Google Ads คือเครื่องมือทำโฆษณาของ Google ซึ่งมีโฆษณาแยกย่อยไปอีกหลายรูปแบบคือ Search ads, GDN, video ads, shopping ads และ app install ads

Landing page คือเว็บไซต์ 1 หน้าที่เราเอาไว้ส่งคนจากโฆษณามาลงหน้านี้

Sale page คือเว็บไซต์ 1 หน้าที่มีลักษณะเขียนเพื่อโน้มน้าวขายสินค้า

Facebook pixel คือโค้ดของ Facebook ที่เอาไว้ใช้เพื่อเรียนรู้พฤติกรรมและใช้วัดผลลัพธ์

Audience คือกลุ่มผู้ชมโฆษณา

Algorithm คือระบบขบวนการทำงานของคอมพิวเตอร์ ที่ปฏิบัติตามกฏต่างๆที่คนสร้างระบบได้สร้างไว้ ในการตลาดออนไลน์ ระบบโฆษณาทุกอันมีอัลกอริทึ่มของตัวเอง ที่จะใช้ประเมินสิ่งๆต่าง ไม่ว่าจะเป็นการจัดอันดับ, การนำส่งโฆษณา, ระบบการประมูล ฯลฯ

CTA(Call-to-action) คือส่วนนึงในเว็บไซต์หรือในโฆษณา ที่เราสั่งให้ผู้ชมโฆษณากระทำการบางอย่าง ไม่ว่าจะด้วยรูปหรือข้อความ เช่น สั่งเลย, ซื้อตอนนี้ หรือโทรเลย

บทความนี้น่าจะพอช่วยให้ทุกสื่อสาร อ่านสื่อต่างๆได้เข้าใจมากยิ่งขึ้น แล้วเจอกันบทความถัดไปครับ 😀

ใครที่อยากได้อัพเดทลึกๆใหม่ๆ ก่อนใคร
เข้าร่วมกลุ่มเป็นครอบครัวเดียวกัน อัพเดท-พูดคุยข่าวสารอย่างไม่รู้จบ!

Digital Marketing Thailand Hub – ศูนย์รวมนักการตลาดออนไลน์แห่งประเทศไทย
Digital Knowledge Thailand (Ads, Marketing, Content, Production & Website)