CTR หรือ Click-Through Rate อีกหนึ่งศัพท์ในแวดวงดิจิทัลที่นักการตลาดออนไลน์มักได้ยินและต้องเจออยู่บ่อย ๆ โดย CTR ถือว่าสำคัญมากหากคุณเป็นนักยิงโฆษณาตัวยง ไม่ว่าจะมาทางสาย bidding ในกูเกิ้ล หรือสาย optimize ใน Facebook บอกได้เลยว่าต้องเจอ CTR แน่นอน
บทความนี้ จะพาคุณไปทำความรู้จัก CTR ให้มากขึ้น รวมทั้งสอนคำนวณ CTR ง่าย ๆ ในแบบฉบับตัวเองกัน
CTR คือ
ค่าสัดส่วนของจำนวนผู้คนที่เห็นโฆษณาและคลิกเข้ามาหาเรา ซึ่งนำมาใช้เป็นตัวชี้วัดว่าโฆษณาและคีย์เวิร์ดที่เรา optimize ไปนั้น แสดงผลได้ดีมีประสิทธิภาพหรือไม่ ทำได้ดีมากน้อยแค่ไหน โดยทั่วไปแล้ว เราสามารถดูค่า CTR หรือ Click-Through Rate ได้ที่แดชบอร์ดของบัญชีที่ใช้ยิงโฆษณาได้เลย ยิ่งค่า CTR สูงเท่าไหร่ ก็ยิ่งมีเปอร์เซ็นต์ที่คนจะคลิกโฆษณาของเราง่ายขึ้นมากเท่านั้น
อ่านมาถึงตรงนี้ หลายคนก็คงเกิดคำถามว่าตกลงแล้ว CTR ที่ดีนั้นควรมีค่าเท่าไหร่ คำตอบก็คือ ไม่มีตัวเลขตายตัว ตัวเลขเฉพาะไม่สามารถชี้วัดได้ว่าแคมเปญโฆษณาในแต่ละครั้งของคุณดีหรือไม่ดี เพราะค่า CTR จะสูงหรือไม่สูงขึ้นอยู่กับคีย์เวิร์ดและการวางแผนโฆษณาในแต่ละแคมเปญ ค่าเฉลี่ยของ CTR ในธุรกิจแต่ละประเภทก็หลากหลายและแตกต่างกันไป ที่สำคัญ อันดับของโฆษณาที่แสดงผลในหน้าการค้นหานั้น ถือเป็นปัจจัยหลักที่จะช่วยให้ค่า CTR สูงหรือต่ำก็ได้
ลองมาดู ค่าเฉลี่ย CTR การทำ AdWords ของธุรกิจแต่ละประเภท ตามแผนภูมิข้างล่าง จะเห็นได้ว่าตัวเลข CTR นั้นหลากหลาย รวมทั้งธุรกิจแต่ละแบบก็มีค่าเฉลี่ยที่ต่างกันด้วย
ที่มา: wordstream
ถึงอย่างนั้น หากเราอยากได้ตัวเลขค่า CTR โดยประมาณ เพื่อนำมาเทียบเคียงและวางแผนสำหรับทำการตลาดต่อไป อาจยึดว่า ค่า CTR สำหรับแคมเปญเสิร์ชคือ 4-5% + ส่วนค่า CTR สำหรับแคมเปญ display ads คือ 0.5-1% +
CTR ใน Google กับ Facebook ต่างกันอย่างไร
เมื่อพูดถึงค่าเฉลี่ย CTR แล้ว ก็อาจมีอีกคำถามตามมา สรุปแล้ว ค่า CTR ใน Google กับ Facebook แตกต่างกันอย่างไร มาไล่ดูกันเลยดีกว่า
ค่าเฉลี่ย CTR ของ Google Display ad คือ .4% ซึ่งสูงกว่าค่าเฉลี่ย CTR ของ Facebook ad ประมาณสี่เท่าตัว
ค่าเฉลี่ย CTR ของ Google Search คือ 2-3% ซึ่งสูงกว่าค่าเฉลี่ย CTR ของ Google Display ad ประมาณสิบเท่าตัว และสูงกว่าค่าเฉลี่ย CTR ของ Facebook ad ร้อยเท่าตัว นอกจากนี้ ค่าเฉลี่ย CTR ของ Google Search ก็อาจพุ่งสูงถึง 30% ซึ่งขึ้นอยู่กับอันดับของโฆษณาที่แสดงในหน้าการค้นหาด้วย
ค่าเฉลี่ย CTR ของ Facebook คือ .051% ต้องบอกก่อนว่าค่านี้ไม่ใช่ตัวเลขที่ทางเฟซบุ๊กเปิดเผยออกมาอย่างเป็นทางการ แต่เป็นตัวเลขที่มีคนทำวิจัยจากการเก็บข้อมูลแคมเปญโฆษณาในเฟซบุ๊กจำนวน 11,000 กรณีศึกษา จนได้ตัวเลขเฉลี่ยออกมาเป็นค่านี้
หลายคนคงสงสัยต่อว่าทำไมค่าเฉลี่ย CTR ของเฟซบุ๊กถึงต่ำกว่ากูเกิล ประเด็นนี้อธิบายได้ด้วยสองเหตุผล อย่างแรก ก็เพราะเฟซบุ๊กมีรูปแบบโฆษณาและการเลือกกลุ่มเป้าหมายหลากหลาย ซึ่งช่วยให้เจาะจงกลุ่มเป้าหมายเฉพาะกลุ่มจริง ๆ ที่อาจไม่ได้มีเยอะเมื่อเทียบกับกลุ่มเป้าหมายที่เข้าไปค้นหาในหน้า search engines อย่างที่สองก็เพราะความสนใจของผู้ใช้งานในเฟซบุ๊กน้อยกว่า ลองนึกดูว่า เมื่อเราเข้าแอปพลิเคชันจำพวกโซเชียลมีเดีย เราจะเน้นเสพความบันเทิงและเรื่องราวของคนใกล้ตัวหรือเรื่องที่สนใจ มากกว่าโฆษณาที่ยิงมาหาเรา จึงไม่แปลกที่ผู้คนจะเลื่อนหน้าฟีดส์ผ่านเวลาเจอแบนเนอร์โฆษณาในเฟซบุ๊ก
CTR ช่วยให้โฆษณาทำงานดีได้อย่างไร
หากเราอยากให้แคมเปญโฆษณาที่ทำมีค่า CTR สูง ตามมาตรฐานที่ตั้งเป้าไว้ ต้องมุ่งไปที่สิ่งสำคัญหลัก ๆ สองอย่าง ได้แก่ Ad Rank (อันดับที่ปรากฏบนหน้าการค้นหา) และ Quality Score ซึ่งเราจะมาไล่ดูกันว่า CTR จะสูงหรือไม่สูงนั้น ปัจจัยจากทั้งสองตัวนี้จะมีส่วนช่วยได้อย่างไรบ้าง
Ad Rank จะช่วยชี้วัดว่าโฆษณาของเราควรแสดงผลอยู่อันดับใดในหน้าการ search engines แน่นอนว่าในโลกของ bidding โฆษณาที่ได้อยู่อันดับแรกสุดไม่ใช่คนที่ bid ด้วยงบที่สูงเสมอไป เพราะการที่จะเลือกให้โฆษณาตัวไหนติดอันดับต้น ๆ นั้น ไม่ได้มีแค่เรื่องงบประมาณเพียงอย่างเดียว เพราะอัลกอริธึ่มจะประเมินค่า CTR ที่มีคนคลิกเข้ามาจริง ๆ กับค่า CTR ที่เราคาดการณ์ว่าจะต้องได้ (Actual CTR vs Expected CTR)
ยกตัวอย่าง คุณยิง ads หลายตัว แต่เรต CTR ที่ได้กลับต่ำมาก อัลกอริธึ่มจะคาดการณ์และประเมินว่าโฆษณาตัวต่อไปของบัญชีโฆษณานี้จะต้องมีค่า CTR ต่ำเหมือนอันที่ผ่านมา ซึ่งส่งผลให้อันดับโฆษณาของคุณตกไปอยู่ล่าง ๆ แทน
คราวนี้มาดูกันที่ Quality Score บ้าง ต้องบอกก่อนว่า Quality Score จะวัดผลโฆษณาจากคีย์เวิร์ด copy และ Landing page หากเราสามารถสร้างสรรค์องค์ประกอบทั้งสามอย่างนี้ให้ร้อยเรียงเป็นเรื่องราวหรือข้อมูลที่กลุ่มเป้าหมายมองหาและตอบโจทย์พวกเขาด้วยแล้ว ก็จะทำให้ได้รับ Quality Score ที่ดี ยิ่งเนื้อหาเกี่ยวข้องกับสิ่งที่พวกเขามองหามากเท่าไหร่ ก็ยิ่งได้รับ Quality Score สูงมากเท่านั้น โดยการคำนวณ Quality Score จะประเมินจากเรต CTR ที่ตั้งไว้ ความเกี่ยวข้องของเนื้อหา และ UX ของ Landing page
CTR vs Conversion Rate ต่างกันอย่างไร
เมื่อเริ่มจับทางออนไลน์ นักการตลาดหลายคนคงเคยได้ยินและสับสนระหว่าง CTR กับ Conversion Rate กันอยู่บ้าง จริง ๆ แล้ว ทั้งสองอย่างนี้ต่างกัน ค่า CTR สูง ไม่ได้หมายความว่าจะได้ Conversion Rate ที่สูงตามไปด้วย เพราะ CTR วัดค่าจำนวนคนที่เห็นและคลิก ads เข้ามา ไม่ได้ชี้วัดยอดปิดการขาย ลงทะเบียน หรืออะไรก็ตามที่เราวางให้เป็น conversion ของแคมเปญนั้น ๆ จึงอาจกล่าวได้ว่าค่าร้อยละของ Conversion Rate ที่สูงนั้นค่อนข้างสำคัญในการวัดผลความสำเร็จของแคมเปญทั้งหมด
แต่อย่าลืมว่า CTR ก็เป็นส่วนสำคัญไม่น้อยไปกว่ากัน เพราะการจะมี CTR ที่ดีนั้น จะส่งผลต่อ Ad Rank และ Quality Score ให้มีคะแนนสูงขึ้นด้วย ซึ่งหมายความว่านี่คือสะพานด่านแรกที่พาเราไปปิดการขายหรือไปสู่ conversion ที่แท้จริงได้นั่นเอง ถึงแม้ CTR จะไม่ได้ส่งผลต่อ Conversion โดยตรง แต่ก็ถือว่าเป็นส่วนประกอบสำคัญในการวิเคราะห์แคมเปญ และส่งผลต่อ Ad Rank และ Quality score
CTR สูตร คำนวณก่อนยิงโฆษณา
การคำนวณค่า CTR ของโฆษณาแต่ละประเภทจากกูเกิลและเฟซบุ๊กนั้น ใช้สูตรคำนวณเหมือนกัน โดยใช้จำนวนคลิกกับอิมเพรสชันเท่านั้น ได้เป็น
(จำนวนคนคลิกโฆษณา / จำนวน impression) x 100 = CTR
ยกตัวอย่าง คุณสร้างแคมเปญโฆษณาขึ้นมา โดยยิง ads แสดงผลจำนวน 5,000 ครั้ง แต่มีจำนวนผู้ที่เห็นและคลิกโฆษณานั้นเข้ามาทั้งหมด 200 คน คุณสามารถคำนวนค่า CTR ของแคมเปญนี้ได้ ดังนี้
(200 / 5,000) x 100 = 4%
ที่มา: business2community
ใครที่อยากได้อัพเดทลึกๆใหม่ๆ ก่อนใคร
เข้าร่วมกลุ่มเป็นครอบครัวเดียวกัน อัพเดท-พูดคุยข่าวสารอย่างไม่รู้จบ!
Digital Marketing Thailand Hub – ศูนย์รวมนักการตลาดออนไลน์แห่งประเทศไทย
Digital Knowledge Thailand (Ads, Marketing, Content, Production & Website)
เติร์ด ทศพร นักการตลาดออนไลน์ ทำงานใน Digital Agency
รับทำโฆษณา, เว็บไซต์ WordPress และ Production
Facebook ads, Google ads, Google Analytics และ Google Tag manager
ทำโฆษณา, เขียน Blog และแชร์ความรู้
Author
-
เติร์ด ทศพร นักการตลาดออนไลน์ ทำงานใน Digital Agency รับทำโฆษณา, เว็บไซต์ WordPress และ Production Facebook ads, Google ads, Google Analytics และ Google Tag manager ทำโฆษณา, เขียน Blog และแชร์ความรู้
Facebook Comments