Facebook Pixel คือโค้ด(code)ประเภทนึงที่ Facebook ใช้ในการ Tracking เพื่อติดตามพฤติกรรม, เรียนรู้พฤติกรรมลูกค้า รวมถึงใช้วัดผลลัพธ์ของการโฆษณาได้อีกด้วย
วิธีการในการทำ Facebook Pixel คือเราจะนำโค้ดเฟสบุ๊คพิกเซลพื้นฐานไปติดตั้งในเว็บไซต์ทุกๆหน้า
โดยเราสามารถใช้ Facebook Pixel ในการทำ Custom Audience ได้ลึกขึ้นกว่าเดิม ไม่ว่าจะเป็นการทำ Custom Audience เพื่อมาทำ Retargeting หรือทำ Custom Audience เพื่อมาสร้าง Lookalike Audience แบบคุณภาพสูง
อ่าน: วิธีการทำ Custom Audience และ Lookalike Audience ตอนนี้
6 เหตุผลว่าทำไมเราจำเป็นต้องใช้งาน Facebook Pixel
Facebook Pixel คืออีกวิธีการนึงที่ทำให้แคมเปญโฆษณาของเรายกระดับขึ้นไปอีกระดับนึง และจำเป็นอย่างยิ่งสำหรับการโฆษณาปัจจุบันที่มีการแข่งขันกันอย่างดุเดือด เรามาดูเหตุผลที่คุณไม่ควรพลาดการใช้งาน Facebook Pixel กันดีกว่า
ขอบคุณภาพจาก https://itarsenal.com
- Facebook Pixel นั้นจะทำการส่งมอบข้อมูลต่างๆที่ได้รวบรวมไม่ว่าจะเป็นเรียนรู้พฤติกรรมจากในเว็บไซต์และบนเพจเฟสบุ๊ค ทำให้แคมเปญโฆษณาของเรามีความแม่นยำขึ้น เพราะระบบสามารถเรียนรู้และ Optimize ได้เก่งมากขึ้นจากการทำ Event ต่างๆเช่น การสั่งซื้อ, การ Add to cart, การกรอกฟอร์มรายชื่อ หรือ การกดโทรหาธุรกิจ
ซึ่งระบบจะสามารถเรียนรู้สิ่งพวกนี้ เมื่อเกิดกระทำเหล่านี้ซ้ำๆบ่อยๆ ระบบก็จะฉลาดขึ้น ระบบสามารถวิ่งหาคนที่ใกล้เคียงข้อมูลตั้งต้นได้อย่างแม่นยำ(ถ้าเป็นการทำแคมเปญ Message วิธีการ Optimize ของระบบการจะวิ่งหาคนที่ทักหาเพจ ซึ่งมันเรียนรู้ได้แค่นั้น ไม่สามารถเรียนรู้หาคนสั่งซื้อหรือการกระทำอื่นๆได้)
- สามารถวัดผลด้วย Conversion ประเภทต่างๆได้ การ Subscribe อีเมล, หยิบใส่ตระกร้า, การสั่งซื้อ, การกดโทร แชทไลน์ แอพ Messenger เราสามารถวัดผลพวกนี้ได้ทั้งหมด รวมถึงเราสามารถสั่งให้ระบบวิ่งหาผลลัพธ์ประเภทไหนก็ได้ ที่ทำ Conversion(Event) ไว้
- เราสามารถเห็น Metrics ROAS และวัดผลได้ตรงมากขึ้น(Return on ad spend)ได้ ROAS คือผลตอบแทนจากการลงโฆษณา สมมติ ROAS 400% คือลงค่าโฆษณา 100 บาท เราขายได้ 400 บาท ซึ่งเมื่อเราเห็นเมทริกซ์นี้ ก็ทำให้เราวัดผลลัพธ์โฆษณาได้ลึกขึ้น มีผลตอบแทนจากลงทุนโฆษณาที่ดีขึ้น
- สามารถสร้าง Custom Audience แบบ Website Visitors คนเข้าเว็บไซต์ได้ รวมถึงการทำ Custom Audience แบบต่างๆไม่ว่าจะเป็นเวลาการอ่านในเว็บ, คนที่ Scroll ในหน้าเว็บไปต่างๆไปกี่เปอร์เซ็น หรือคนที่เข้าหน้าเว็บเนื้อหาต่างๆ
- สามารถสร้าง Custom Audience คนที่สั่งซื้อ หรือกรอก Lead ไปแล้ว และทำการ Exclude เอาออกจาก Campaign โฆษณาได้ ทำให้เราประหยัดงบค่าโฆษณามากขึ้น
- สามารถสร้าง Lookalike Audience ได้ Advance มากขึ้น ทำการสร้างคนที่ใกล้เคียงกลุ่มแรกแบบขั้นสูง เรียนรู้ได้ ไม่ว่าจะเป็นหาคนที่คล้ายๆคนที่ซื้อไปแล้ว, หาคนที่คล้ายๆคนที่เข้าหน้าสินค้า ฯลฯ
วิธีการติดตั้งโค้ด Facebook Pixel
ก่อนที่เราจะสามารถไปใช้งาน Facebook Pixel ได้ เราจะต้องมีเว็บไซต์เพื่อไว้สำหรับติดตั้งโค้ด Facebook Pixel
วิธีการสร้าง Facebook Pixel นั้นเราสามารถสร้างได้จากสองที่ เรามาดูวิธีแรกกันก่อนดีกว่า
วิธีแรก สร้างผ่าน Ads Manager ที่เราใช้ทำการขึ้นแคมเปญปกติ
เมื่อเราอยู่ที่หน้า Ads Manager นั้นให้มองไปที่มุมขวาบนเครื่องหมายจุด 9 จุด หรือ ขีด 3 ขีดแล้วแต่เวอร์ชั่น UI หลังจากนั้นเลือก Event Manager
1. เมื่อเราเข้ามาใน Event Manager แล้วให้เรามองที่
ฝั่งซ้ายตรงเครื่องหมาย + เมื่อเอาเมาส์ไปวางจะเห็นคำว่า Connect Data Sources ทำการเลือกเมนูนี้
2. หลังจากนั้นทำการเลือก Web ฝั่งซ้าย มาอีกแท็บนึงให้ทำการเลือก Facebook Pixel ต่อ
3. ระบบจะถามเราว่า เราจะติด Facebook Pixel ยังไง
4. ทำการตั้งชื่อของพิกเซล ทำการใส่โดเมนเว็บไซต์(ไม่ใส่ก็ได้)

5. Facebook Pixel สามารถติดตั้งผ่านเครื่องมืออะไรได้ไหม?
- ติดด้วยตัวเองผ่านเครื่องมือต่างๆ
- ส่งโค้ดไปให้โปรแกรมเมอร์หรือ WebMaster ทำการติดตั้งโค้ดให้
- ติดผ่านเครื่องมือช่วยติดสำหรับพาร์ทเนอร์ของ Facebook
อย่างถ้าใครใช้งาน Shopify, Wix, Magento, WooCommerce ฯลฯ รวมถึง WordPress และ Google Tag Manager Facebook ก็มีฟีเจอร์การติดตั้ง Facebook Pixel อย่างง่ายรองรับช่องทางต่างๆ ในระบบอยู่แล้ว เราสามารถเลือกฝั่งขวาได้(ปกติที่ผมใช้ WordPress และ GTM ผมก็จะทำการติดตั้งโค้ดด้วยตัวเอง ไม่ทำการติดผ่านเครื่องมือช่วยต่างๆของเฟสบุ๊ค วิธีการคือติดตั้ง Google Tag Manager ก่อนแล้วค่อยติดตั้ง Facebook Ads ผ่าน Google Tag Manager)
ถ้าใครใช้ WordPress, Google Tag Manager, เว็บสำเร็จรูปในไทย, ติดตั้งโค้ดด้วยตัวเอง หรือฝาก Webmaster ติดโค้ดให้
แนะนำเลือกฝั่งซ้าย Manually add pixel code to website
6. ก้อปโค้ดพิกเซล Facebook Base code เพื่อทำการติดตั้ง
- หากใครที่จะติดตั้ง Facebook Pixel ใน WordPress ด้วยตัวเอง
โดยไม่ผ่านโปรแกรมเมอร์และไม่ผ่าน Google Tag Manager นั้นให้ทำการดาวน์โหลด Plug-in ชื่อ Insert Headers and Footers นำโค้ดวางในส่วนของแท็ก
- สำหรับเว็บใครที่ใช้ Google Tag Manager
เราเอาโค้ดของ GTM มาวางไว้ในส่วนของแท็กและตามที่ระบบ GTM แนะนำ แล้วค่อยเอาโค้ด Facebook Pixel ไปติดในระบบ GTM แทน
เมื่อทำการติดตั้ง Facebook Pixel base code เสร็จทำการกด Continue ต่อ
7. หลังจากนั้นจะพบ Automatic Advanced Matching
Automatic Advanced Matching ช่วยในการจับกลุ่ม Custom Audience ได้เยอะขึ้น แม่นยำขึ้น
มีผลตอบแทนตอบแทนจากค่าโฆษณาที่ดีขึ้น อันนี้คือจากทางที่ Facebook แจ้งไว้ ให้เรากดเปิดไว้นะครับ
8. Launch Event Setup Tool
ระบบก็จะพาให้เราไปกรอกเว็บไซต์ เพื่อพาเราไปสู่หน้าเว็บไซต์ ซึ่งเมื่อก่อนก็เป็นยืนยันโค้ดพิกเซล Facebook base code และ Test ว่าระบบรับ Event ต่างๆไหม
แต่ตอนนี้มีฟีเจอร์ที่พึ่งมาใหม่คือการทำ Event อย่างง่ายมากๆ
ผมขออธิบายเพิ่มเติมคำว่า Event หน่อยละกันครับ คือ Event ก็เปรียบเหมือนเหตุการณ์ต่างๆในเว็บไซต์ของเราไม่ว่าจะเป็นคนคลิกที่จุดไหนบ้าง, จำนวนคน Scroll ไปถึงตรงไหนบ้าง, จำนวนคนคลิกแอดไลน์, จำนวนคนสั่งซื้อ, หรือคนเข้าไปอ่าน blog เหตุการณ์อะไรก็แล้วแต่ไม่มีจะมีความสำคัญน้อยหรือมาก เราสามารถสร้างเป็น Event ไว้ได้ทั้งสิ้น
เมื่อเราทำการสร้าง Event ไว้เสร็จแล้วนั้น เราสามารถนำ Event ต่างๆมาเป็น Conversion ของแคมเปญโฆษณาได้ทั้ง Facebook Pixel(Facebook Ads) และฝั่ง Google ก็เป็นแบบนี้เช่นกัน แต่อย่างถ้า Event ไหนไม่ได้มีความสำคัญมาก อย่างเช่นจำนวนคนดูวิดีโอ หรือคนจำนวนคนคลิกไปอ่าน blog ไรพวกนี้เราก็จะไม่ได้นำ Event มาเป็น Conversion ของแคมเปญ
เมื่อเราทำการติดตั้งโค้ด Facebook Pixel แล้ว ปกติจะให้เรา Test เว็บไซต์โดยการใส่เว็บไซต์เข้าไปในช่อง แล้วระบบก็จะแจ้งว่ามี Traffic เข้าเว็บแล้วนะ โค้ดในเว็บไซต์ทำงานแล้วอะไรประมาณนั้น
แต่ตอนนี้นอกจากในช่องนี้จะใช้เพื่อเทสโค้ดแบบเดิมแล้ว มันยังมีความสามารถเพิ่มเติมมาอีกคือการทำ Event Tracking การเอา Event ต่างๆในเว็บไซต์มาเป็น Conversion
โดยวิธีการนั้นง่ายมากๆ
เดี๋ยวมาเขียนเรื่อง ฟีเจอร์ใหม่ Facebook Ads การทำ Event Tracking ในเว็บไซต์อย่างง่าย สำหรับมือใหม่เริ่มใช้แคมเปญ Conversion เพิ่มเติมอีกบทความนึงนะครับ
เมื่อเราใส่เว็บไซต์ไปในช่องนั้นจะพาเราไปสู่หน้าเว็บไซต์ ให้เราทำการกด Save เพื่อยืนยัน Base code ไปก่อน
เช็คโค้ด Facebook Pixel ว่าทำงานไหม ทำยังไง?
เมื่อเราผ่านขั้นตอนข้างต้น เราต้องทำการเช็คว่า Facebook Pixel ของเราทำงานจริงๆไหม โดยให้เราเข้าไปที่ Browser: Google Chrome แล้วเข้าไปที่เว็บไซต์ https://chrome.google.com/webstore/category/extensions เพื่อทำการดาวน์โหลด Extension เครื่องมือเสริมติดตั้งไว้ใน Browser
ให้ทำการค้นหา “Facebook Pixel Helper”
Facebook Pixel Helper คืออะไร?
Facebook Pixel Helper คือเครื่องมือเอาไว้เช็คโค้ดพิกเซลของ Facebook ว่ามีการทำงานไหม มีโค้ดอะไรทำงานบ้างในหน้านี้ เกิดความผิดพลาดอะไรในการนำส่งข้อมูลจากโค้ดบาง ซึ่งมันจะรายงานผ่าน Facebook Pixel Helper หลักๆแล้วนั้น เราเอาไว้ใช้เช็คการทำงานของเว็บไซต์ตัวเองว่ามีการทำงานโค้ดสมบูรณ์ไหม
นอกจากนั้นเรายังสามารถใช้ดู Event ต่างๆในเว็บไซต์ของคนอื่นได้อีกด้วย โดยการเข้าไปในเว็บไซต์ที่เราอยากรู้ แล้วก็กดใช้ Facebook Pixel Helper แล้วเราก็ลองสร้างการกระทำต่างๆ แล้วลองสังเกตุว่ามี Event อะไรของเค้าทำงานบ้าง
การสร้าง Custom Audience ด้วย Facebook Pixel
1. ในหน้า Ads Manager เลือกเมนูฝั่งซ้ายบน เครื่องหมาย ขีดสามขีดหรือที่เป็นจุดๆ หลังจากนั้นเลือก Audience Manager
2. เลือก Create Audience สีน้ำเงินเข้มฝั่งซ้ายหลังจากนั้น เลือก Website
3. เราสามารถเลือกได้เลยว่าเราจะสร้าง Custom Audience แบบไหนจากเว็บไซต์
พื้นฐานที่มีมาให้ก็จะเป็นคนเข้าเว็บไซต์ทั้งหมด, เข้าที่หน้าไหน หรือเวลาที่อยู่ในเว็บอันนี้จะเป็น % เช่นคนอยู่ในเว็บนานสุด Top 10%
เรายังสามารถนำข้อมูล Event ต่างๆที่เราติดตามไว้ นั้นมาสร้างเป็น Custom Audience และ Lookalike Audience แบบขั้นสูง มันจะมาอยู่ต่อตรง PageView
**แต่เราต้อง Track Event ก่อนนะ ถ้าเราเริ่มรันโฆษณาไปแล้ว แล้วพึ่งมาเริ่ม Track Event ตอนหลัง ระบบไม่เก็บข้อมูลย้อนหลังเกี่ยวกับ Event นั้นๆให้ ระบบมันก็จะเริ่มนับ 1 Event นั้นหลังจากที่เราทำการติดตั้งเสร็จ
ก็ต้องรอเวลาให้มันเริ่มเรียนรู้เกี่ยวกับ Event นั้นใหม่ ถึงจะเอาไปต่อยอดอะไรได้**
วิธีที่สอง การสร้าง Facebook Pixel สำหรับคนที่ใช้ Business Manager
ให้เราทำการเข้าไปที่ Business setting ในหน้า Business Manager หรือ Ads Manager จะเป็นรูปเฟือง
ชวนคนในทีมมาใช้งาน Facebook Pixel
ฝั่งซ้ายเลือกเมนู Pixel หลังจากนั้นเลือกชื่อ Facebook Pixels ที่เราต้องการจัดการ
หากเราต้องการชวนคนในทีม คนที่อยู่ใน Business Manager แล้ว มาใช้ Pixel กดตรง Add People ได้เลย
กดเลือกสิทธิ์ให้ทีมงาน ว่าจะให้ดูและสร้าง Conversion Ads ได้เฉยๆ
หรืออีกอันคือสามารถจัดการ, ลบ, สร้าง Conversion Ads, สร้าง Audience จากพิกเซลได้
เมื่อทำการเลือกเสร็จแล้วกด Assign ปุ่มสีน้ำเงินโล่ด
หากทีมยังไม่ได้อยู่ใน Business Manager เราจะมา Add เข้าไปใน Pixel ไม่ได้
เราต้องไปชวนทีมงานเข้ามาใน Business Manager ก่อนตรงแถบ People ฝั่งซ้ายบนๆ
และหลังจากนั้นเราสามารถ Assign Facebook Pixel นี้ได้ว่าเราจะให้เข้าไปใน Ad Account หรือบัญชีโฆษณาไหน ตรงข้างๆ Add People จะมีคำว่า Add Assets
ปุ่มนั้นคือการยัด Pixel ที่สร้างเข้าไปในบัญชีโฆษณา เพื่อให้ใช้งานร่วมกันได้
# สรุป
Facebook Pixel นั้นมีประโยชน์อยากมากในหลายๆด้านเลย อย่างที่กล่าวไปก็คือ
การสร้าง Custom Audience และ Lookalike Audience ได้แบบลึกมากๆ
รวมถึงยังช่วยในเรื่องของยอดขายและการวัดผลลัพธ์โฆษณาที่ชัดเจนมากขึ้น
สามารถเล่นกับ Event ต่างๆได้มากมาย
การเลือกให้ระบบ Optimize หา Event ไหนที่เราต้องการ
โดยเฉพาะถ้าเราอยากสเกลธุรกิจและยอดขายได้มากขึ้น จำเป็นอย่างยิ่งที่ต้องเรียนรู้พวก Facebook Pixel และแคมเปญ Conversion ไว้ เพราะมันเรียนรู้พฤติกรรมคน ทำการวิ่งนำโฆษณาไปแสดงกับคนที่แม่นยำกว่าการโฆษณาแคมเปญทั่วไปเยอะ
ขอบคุณที่อ่านกันมาถึงตรงนี้ หวังว่าบทความนี้คงถูกใจใครหลายๆคน ถ้าคิดว่ามีประโยชน์ แชร์ให้กับเพื่อนๆคนใกล้ตัวด้วยนะ
ใครที่อยากได้อัพเดทลึกๆใหม่ๆ ก่อนใคร
เข้าร่วมกลุ่มเป็นครอบครัวเดียวกัน อัพเดท-พูดคุยข่าวสารอย่างไม่รู้จบ!
Digital Marketing Thailand Hub – ศูนย์รวมนักการตลาดออนไลน์แห่งประเทศไทย
Digital Knowledge Thailand (Ads, Marketing, Content, Production & Website)
Feeling Love Digital Marketing 😀
อ้างอิง: https://www.facebook.com/business/help/742478679120153?id=1205376682832142
https://www.oberlo.com/blog/facebook-pixel
https://adespresso.com/blog/facebook-pixel/

เติร์ด ทศพร นักการตลาดออนไลน์ ทำงานใน Digital Agency
รับทำโฆษณา, เว็บไซต์ WordPress และ Production
Facebook ads, Google ads, Google Analytics และ Google Tag manager
ทำโฆษณา, เขียน Blog และแชร์ความรู้
Author
-
เติร์ด ทศพร นักการตลาดออนไลน์ ทำงานใน Digital Agency รับทำโฆษณา, เว็บไซต์ WordPress และ Production Facebook ads, Google ads, Google Analytics และ Google Tag manager ทำโฆษณา, เขียน Blog และแชร์ความรู้
Facebook Comments